1 มิถุนายน 2560

จับตาเคมีภัณฑ์เกษตร ตลาดนี้มีอนาคต

​     ความต้องการเคมีภัณฑ์การเกษตรทั้งปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืชในช่วงครึ่งแรกปี 2560 นี้ ความต้องการใช้เคมีภัณฑ์การเกษตรมีค่อนข้างสูงในหลายพืชเศรษฐกิจทั้งข้าวนาปรังที่เริ่มปลูกในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2559 (นาปรังรอบแรก) มาจนถึงเดือนมีนาคม(นาปรังรอบสอง) รวมถึงอ้อย ปาล์มน้ำมัน และยางพารา โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญดังนี้



     ครึ่งหลังของปี 2560 คาดว่า ความต้องการเคมีภัณฑ์การเกษตรจะยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ จากปัจจัยทางด้านราคาพืชผลเกษตรหลักทั้ง อ้อย ยางพาราและปาล์มน้ำมันที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ทำให้ความต้องการใช้เคมีภัณฑ์การเกษตรเพื่อบำรุงต้นพืชมีสูง ประกอบกับปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะเพียงพอเหมาะสมต่อการเพาะปลูก โดยเฉพาะข้าวนาปี ทำให้ความต้องการเคมีภัณฑ์การเกษตรจะยังมีต่อเนื่อง



     จากการที่ไทยมีการผลิตพืชเกษตรหลากหลายชนิด และบางชนิดมีส่วนแบ่งในตลาดโลกสูง ส่งผลให้ความต้องการเคมีภัณฑ์การเกษตรมีมูลค่าสูง ที่อาจเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการเคมีภัณฑ์การเกษตร ดังนี้




     ภาพรวมตลาดเคมีภัณฑ์การเกษตรยังคงมีโอกาสเติบโตจากการเข้าสู่ภาคการผลิตของคนรุ่นใหม่ๆ ที่ใช้พื้นที่ทิ้งร้างของครอบครัว หรือเช่าพื้นที่ของเจ้าของที่ดินที่ไม่ได้ทำประโยชน์ รวมถึงตลาดประเทศเพื่อนบ้านที่ยังต้องนำเข้าเคมีภัณฑ์การเกษตร ในขณะที่การปลูกพืชแบบอินทรีย์หรือแบบไฮโดรโปนิกส์ แม้ว่าจะเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นแต่ยังมีสัดส่วนน้อย ผู้ประกอบการอาจต้องติดตามกระแสดังกล่าวเพื่อเรียนรู้ตลาดใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ช่องทางการค้ารูปแบบใหม่เช่น E-Commerce เข้าถึงเกษตรกรรุ่นใหม่ได้อีกด้วย




     เคมีภัณฑ์การเกษตรเป็นตลาดที่ใหญ่มีมูลค่าสูง รวมถึงตลาดส่งออกประเทศในกลุ่ม CLMV ซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกับไทย อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางความต้องการใช้ทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนั้น ผู้ประกอบการเคมีภัณฑ์การเกษตรที่ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องศึกษาและติดตามปัจจัยดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทวิเคราะห์ฉบับเต็ม…


ดาวน์โหลดบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม